กิ๊ฟชอป, ตุ๊กตา ฟังเพลงตามเทศกาล
วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

Shutter : ชัตเตอร์ กดติดมนุษย์ต่างดาว

0 ความคิดเห็น
หลายวันก่อนได้อ่านหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เจอข่าวคนถ่ายภาพติดเอเลี่ยน ผมตื่นเต้นมากครับ เพราะเอเลี่ยนที่ถ่ายได้มันชัดเจนมาก น่าจะเป็นภาพถ่ายเอเลี่ยนที่ชัดเจนมากที่สุดในโลกแล้วล่ะตอนนี้  ข่าวรายงานว่าตอนนี้ได้ส่งภาพไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอยู่ ผมว่าอีกไม่ช้าองค์การนาซ่า หรือไม่ก็ MIB ต้องติดต่อมาขอข้อมูลแน่ๆ แต่เมื่อลองใช้สติตรึกตรองดู ผมว่าข่าวนี้มันทะแม่งๆ ยังไงอยู่นะ เอเลี่ยนที่ไหนมันจะมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวหาดทรายชายทะเล ตั้งแต่เคยดูหนังมายังไม่เคยเห็นเอเลี่ยนตัวไหนชอบไปเที่ยวทะเลเลย แล้วทำไมมนุษย์ต่างดาวตัวนี้เลือกเดินทางมาประเทศไทย ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาวมาประเทศไทยเลยเหมือนกัน เคยเห็นแต่มนุษย์ต่างด้าว หรือเป็นเพราะเห็นว่าประเทศไทยมีค่าครองชีพถูก แต่ตอนหลังๆ นี่ค่าครองชีพก็ไม่ค่อยถูกแล้วนะ

ประการสำคัญคือเอเลี่ยนมีจริงหรือเปล่า ผมคิดว่าถ้าเอเลี่ยนมีจริงต้องสื่อสารกับมนุษย์ได้ เพราะการที่เอเลี่ยนสามารถเดินทางมาถึงประเทศไทยได้นั้น ต้องมีอารยธรรมและวิทยาการที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์โลกมาก มนุษย์เราอย่างมากก็เคยไปแค่ดวงจันทร์ แต่ไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดไปแก้ผ้าเดินเล่นที่ชายหาดบนดวงจันทร์เหมือนเอเลี่ยนตัวที่ปรากฎบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์วันนั้นเลย (แต่ข้อนี้อาจเป็นเพราะเราหาชายหาดบนดวงจันทร์ไม่เจอก็ได้)

เท่าที่เคยดูหนังมา เผ่าพันธุ์ที่มีวิทยาการสูงส่งมักจะสามารถสื่อสารกันทางโทรจิตได้ ผมเคยทดลองสื่อสารทางโทรจิตมาบ้างเหมือนกัน ซึ่งเท่าที่ผ่านมาการทดลองของผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง คือสามารถสื่อสารทางโทรจิตกับตัวเองได้ แต่ยังไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ เข้าใจว่าเป็นเพราะเครือข่ายยังไม่ครอบคลุม ต่อไปเมื่อเราสามารถพัฒนาเครือข่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น เราจะสามารถสื่อสารทางโทรจิตกับเพื่อน ๆ ได้แน่นอน

วันนั้นผมก็เลยตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าเป็นเอเลี่ยนมีจริงแล้วไซร้ ขอให้โผล่มาให้ผมถ่ายภาพติดบ้างเถอะ ถ้าผมถ่ายภาพติดเอเลี่ยนด้วยตัวเอง ผมจึงจะเชื่อว่าเอเลี่ยนมีจริง ผมไม่แน่ใจว่าสามารถสื่อสารไปถึงเอเลี่ยนได้หรือเปล่า แต่ก็มั่นใจว่าถ้าเอเลี่ยนมีจริงต้องรับรู้สิ่งที่ผมต้องการสื่อสารด้วยแน่ๆ แต่อาจจะสื่อสารกลับมาหาผมไม่ได้ ผมรู้ข้อกำจัดข้อนี้ของมุษย์ดีครับ อย่าว่าแต่กับเอเลี่ยนเลย แม้แต่บรรดาหมาๆที่เป็นเพื่อนสนิทกับมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เจอหน้ากันทุกวันมากว่าพันปี เวลาเราพูดกับหมา หมามันยังเข้าใจสิ่งที่เราพูด แต่พอหมาพูดกับเราบ้าง เรากลับไม่เข้าใจมันเลย ผมคิดว่ากรณีเอเลี่ยนก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่ออธิษฐานเสร็จผมก็หยิบมือถือมาถ่ายรูป แต่ผมกลัวว่าถ้าถ่ายติดเอเลี่ยนแล้วรูปที่ได้มาเอเลี่ยนจะหน้าไม่เนียน เอเลี่ยนจะไม่พอใจ เดี๋ยวนี้เวลาถ่ายรูปใครๆก็ใช้แอพฯช่วยให้หน้าเนียนสวยกันทั้งนั้น ผมก็เลยใช้แอพฯ camera 360 แล้วเลือกเอฟเฟ็ค 2012 เพราะเป็นเอฟเฟ็คใหม่ แม้ปีนี้จะเป็นปี 2013 แล้ว แต่ยังมีคำว่า NEW ติดอยู่ที่เอฟเฟ็คน่าจะเป็นเอฟเฟ็คที่ใหม่ที่สุดแล้ว


ภาพที่ได้มาสร้างความตื่นตะลึงให้ผมเป็นอย่างยิ่ง เหมือนเอเลี่ยนจะสื่อสารกับผมรู้เรื่องและไม่อยากให้ผมเคลือบแคลงใจ เอเลี่ยนก็เลยโผล่มาอยู่ในภาพถ่ายของผม มันเป็นเอเลี่ยนตัวเดียวกับที่ไปเที่ยวทะเลเลยครับ เอเลี่ยนก็คงเป็นเช่นเดียวกับความรัก ที่แม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็มีอยู่จริง เอเลี่ยนอาจแตกต่างจากความรักอยู่บ้าง เพราะความรักแม้มีอยู่จริงแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาและไม่สามารถถ่ายรูปติดด้วย แต่เอเลี่ยนแม้มองด้วยตาไม่เห็นแต่สามารถถ่ายรูปติดได้ด้วยกล้องมือถือธรรมดาๆ (ไม่ใช่ไอโฟนด้วยซ้ำ)

ผมมั่นใจว่าการที่เอเลี่ยนมาเยือนโลกมนุษย์ครั้งนี้ต้องการมาแบบเปิดเผยครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถถ่ายติดรูปเอเลี่ยนได้โดยตั้งใจไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นนี้แน่ๆ แต่การที่เราไม่สามารถมองเห็นเอเลี่ยนได้ด้วยสายตาอาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสทางตาของเราไม่สามารถสัมผัสรับรู้การมีตัวตนของพวกเขาก็เป็นได้ ดูอย่างหมามันยังได้ยินเสียงบางเสียงซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่คนเราไม่สามารถได้ยินเลย แต่เสียงนั้นก็มีอยู่จริงๆ กรณีนี้ก็เหมือนกันแหละครับ แค่เปลี่ยนจากประสาทสัมผัสทางหูมาเป็นประสาทสัมผัสทางตาเท่านั้น

การที่เอเลี่ยนมาแบบเปิดเผยเช่นนี้ ผมคิดว่าเป็นการมาอย่างเป็นมิตร และมาโดยสันติภาพครับ เพราะถ้ามาร้ายก็คงจะหลบๆซ่อนๆ หรือไม่ก็ทำลายเราไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจก็คือ ทำไมต้องมาประเทศไทยครับ ในเมื่อคนที่นี่ยังไม่มีมิตรภาพและสันติภาพให้กันเลย หรือว่าเอเลี่ยนผิดพลาดด้านการข่าว จะอย่างไรก็คงต้องรอดูกันต่อไปครับ

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่นำเสนอข่าวที่เป็นประโยชน์นี้ เพราะมันช่วยเปิดโลกทัศน์ผมมากเลยครับ ช่วยให้คนไทยได้หูตาสว่างกันซะที ต่อไปนี้คงไม่ต้องมาเถียงกันอีกแล้วว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่

ปล. ผมก็ถ่ายรูปติดเอเลี่ยน ผมยืนยันว่าภาพนี้เป็นภาพจริงผมไม่ได้ตัดต่อใดๆทั้งสิ้น ไทยรัฐจะมาทำข่าวผมมั้ยครับ ผมกลัวดังจังเลย พอดังแล้วคนชอบอิจฉามาด่าว่าโง่บ้างอะไรบ้าง เฮ้อ...
Continue reading →
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

“เฟซบุ๊ค” เพิ่มค่าธรรมเนียมการส่งข้อความระหว่างผู้ที่ไม่ใช่ “เพื่อน” กัน

0 ความคิดเห็น



วันนี้ ( 12 ม.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวเป็นภาษาอังกฤษฟุด ฟิด ฟอ ไฟ จากเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ผมไม่ได้ตามไปอ่านหรอกนะ ผมอ่านเวอร์ชั่นภาษาไทยจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เขาบอกว่า เฟซบุ๊ค เครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับ 1 ของโลก เริ่มทดสอบระบบเก็บเงินค่าส่งข้อความระหว่างผู้ใช้ที่ไม่ได้มีสถานะเป็น “เพื่อน” กันอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ โดยกำหนดเพิ่มค่าธรรมเนียมการส่งข้อความเป็น 100 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3,100 บาท ) โอ้ว...มันช่างเป็นค่าส่งข้อความที่แพงมากๆๆๆเลย


อ่านข่าวแล้วเศร้า เพราะอาจเรียกได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมของคนโสด(แต่จน)อย่างผมโดยแท้จริง ลองคิดดูสิ ถ้าบังเอิญผมไปเจอสาวสวยใน  Facebook แล้วอยากจะส่งข้อความไปจีบ ผมจะต้องเสียเงินครั้ง 3 พันกว่าบาท ชีวิตมันจะอนาถสักแค่ไหน โอกาสที่จะได้เจอเนื้อคู่คงยากขึ้นอีก แม้จะส่งคำขอเป็นเพื่อนก่อนได้ แต่บางทีคนสวยๆ เขาไม่รับเป็นเพื่อนง่ายๆ (เพราะพอเขาเห็นว่ารูปในโปรไฟล์เราหล่อมากๆ เขาก็มักคิดว่าเป็นรูปปลอม)

อีตามาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (เจ้าของเฟสบุ๊ค) นี่เค้าแต่งงานแล้วก็เลยไม่เห็นใจหัวอกคนโสดเลย แง๊ๆๆ

มาอ่านข่าวต่อ ตามข่าวระบุว่าก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ธ.ค. เฟซบุ๊คทำการทดสอบระบบดังกล่าวสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐ โดยจะมีการเรียกเก็บเงินค่าส่งข้อความทันที 1 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 31 บาท ) ต่อการส่ง 1 ครั้ง ซึ่งกระแสตอบรับค่อนข้างน่าพอใจ (ใครพอใจฟระ คนที่ส่งข้อความไม่น่าจะพอใจหรอกนะ)


ส่วนสาเหตุที่นำมาอ้างในการคิดค่าส่งข้อความในครั้งนี้ก็คือ เพื่อเป็นการทดสอบระบบคัดกรองข้อความขยะ รวมถึงข้อความโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ ( สแปม ) ครั้งสุดท้าย ว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะเริ่มให้มีการใช้งานจริงได้หรือไม่ รวมถึงเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า ข้อความที่ถูกส่งในแต่ละครั้งเป็นข้อความที่จำเป็น เต็มไปด้วยสาระสำคัญ และมีประโยชน์ต่อผู้รับอย่างแท้จริงที่สุด เอ่อ...คิดดูแล้วมันก็จริงนะ ขอเสนอว่าต่อไปควรคิดค่าแท็กรูปด้วย ผมเห็นคนรวย ๆ ชอบแท็กรูปคลี่แบ็งค์มาอวดรวยแล้วชวนไปทำงานด้วยบ่อยๆ พวกนี้ร่ำรวยและหาเงินได้ง่ายๆ ต้องมีเงินจ่ายแน่นอน


อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวให้แก่บุคคลสำคัญ หรือบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ใช้เฟซบุ๊ค อาทิ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) คนปัจจุบันของเฟซบุ๊ค เพื่อให้แน่ใจว่า ข้อความที่ได้รับจะไม่ใช่ข้อความก่อกวน สรุปก็คืออีตามาร์กเค้าได้รับข้อความเยอะใช่เปล่า แล้วก็คงมีการพูดแซวกันในบรรดาผู้ร่วมงานของเฟสบุ๊คว่า "แหม...นี่ถ้าเปลี่ยนข้อความที่ส่งมาเป็นเงินได้สักข้อความละ 3,100 บาท ตูคงรวยไปแล้ว" แบบนี้ไง ที่เขาบอกว่า แค่ประโยคดีๆ 1 ประโยค ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เลย

เอาล่ะ จบข่าวไปเศร้าต่อ

ลป. (ลืมไป)...ตอนนี้ที่ไทยยังไม่มีการเก็บเงินค่าส่งข้อความ ใครคิดจะส่งต้องรีบส่งนะครับ ส่งตุนๆไว้ก่อนก็ดี พอเขาเริ่มเก็บเงินจะได้ไม่ต้องส่งอีก
Continue reading →
วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

เวลาเช้าที่หายไป

0 ความคิดเห็น


สวัสดียามบ่ายครับ

ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ผมได้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าปีใหม่ปีนี้จะเป็นปีแห่งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองขนานใหญ่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมคิดว่าถ้าได้เปลี่ยนแปลงมันแล้วชีวิตของผมจะดีขึ้น (และเมื่อชีวิตของผมดีขึ้น ผมอาจจะเลิกเป็นโสดก็ได้)

สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องทำให้ได้ก็คือเรื่องของการนอน ปีที่แล้วผมนอนดึกตื่นสาย หรือบางทีก็นอนเช้าตื่นบ่าย ไม่ค่อยเป็นเวลา ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจย่ำแย่

ปีนี้ผมตั้งใจว่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำ พักผ่อนให้เต็มที่ มีความสุขอยู่ในห้วงนิทรายามราตรีอย่างเต็มที่ แล้วตื่นมาด้วยพลังเต็มปรี่ในตอนเช้า หรือพูดสั้นๆ ก็คือผมตั้งใจว่าจะเลิกนอนดึก และตื่นแต่เช้า (ถ้าใครไม่อยากอ่านอะไรยาวๆก็ข้ามตอนที่ผมเขียนยาวๆ มาอ่านตอนที่พูดสั้นๆนี้ได้เลยนะครับ)

แต่ทำไปทำมา ที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่นอนดึกก็ไม่สามารถทำได้ครับ เพราะด้วยความที่เป็นโสด พอมืดลงก็ไม่มีคนมาคอยสะกิดชวนเข้านอน โอ้...ชีวิตคนโสดมันช่างน่าอนาถจริงๆเลยครับ

เอาล่ะ ไม่เป็นไร แม้จะไม่สามารถนอนแต่หัวค่ำ แต่ก็ถ้ายังสามารถตื่นเช้าได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเหมือนกัน เหมือนกับการที่รบแพ้ในศึก แต่ชนะในสงครามนั่นแหละ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป เพราะจะทำให้ผมมีเวลาป้อสาว เอ้ย! ทำงานมากขึ้น เมื่อทำงานมากขึ้น ฐานะก็จะดีขึ้น เมื่อฐานะดีขึ้น โอกาสที่จะเป็นโสดไปชั่วชีวิตก็น้อยลง เยี่ยม!

แต่ทำไปทำมา เหมือนพระเจ้าไม่เข้าข้าง (ไม่อยากจะใช้คำว่าพระเจ้ากลั่นแกล้ง กลัวเจอข้อหาหมิ่นประมาท) เพราะตั้งแต่ปีใหม่มานี้ผมจะไม่ได้พบเวลาเช้าเลยครับ พอตื่นขึ้นมา ก็พบว่ามันเป็เวลา สาย เพล เที่ยง บ่าย สลับๆกันอย่างนี้ทุกวัน ทำให้ผมสงสัยมากว่าน่าจะมีการกลั่นแกล้งกันแน่ๆ ทุกวันนี้ยังมีเวลาเช้าอยู่หรือเปล่า ใครเป็นคนเอาเวลาเช้าของผมไป

ตอนที่ผมนั่งเขียนบล็อกอยู่นี้ผมก็ยังงงๆอยู่เลย ที่จู่ๆเวลาเช้าก็หายไปเฉยๆซะอย่างนี้ แล้ะก็อดหวั่นวิตกไม่ได้ว่าถ้าโลกนี้ไม่มีเวลาเช้าแล้ว มันหมายถึงอวสานของโลกกำลังจะมาถึงแล้วหรือเปล่า

มันช่างเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวถ้าโลกใกล้จะถึงจุดจบแล้วจริงๆ เพราะผมยังโสดอยู่เลย
Continue reading →

ตอนที่สอง

0 ความคิดเห็น
สวัสดีครับชาวโลกผู้มีพุงและไม่มีพุงทุกท่านที่บังเอิญผ่านมา

โอ้ยยยยยๆๆๆ.... แทบไม่น่าเชื่อครับ ด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่นที่ลุกโชติช่วงสว่างไสว ทำให้ผมเริ่่มต้นเขียนบล็อกตอนที่สองนี้หลังจากเขียนตอนแรกจบไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น




แต่เนื่องจากผมมีแต่ไฟแห่งความมุ่งมั่นแต่เพียงอย่างเดียว แต่ไฟสติปัญญาความคิดผมริบหรี่มาก ผมจึงขอจบบล็อกที่สองของผมไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ แล้วผมกันใหม่ตอนหน้านะครับ

สายัณห์สวัสดิ์ครับ


Continue reading →

สวัสดีชาวโลก

0 ความคิดเห็น
 สวัสดีครับชาวโลกผู้มีพุงและไม่มีพุงทุกท่านที่บังเอิญผ่านมา

ขอฉวยโอกาสกล่าวทักทายกันก่อนที่ท่านจะผ่านไป ขอบอกได้เลยว่าหากท่านหยุดพักสายตาอยู่ที่บล็อกนี้และอ่านมัน ผมรับรองว่ามันจะเป็นผลดีกับตัวผมมาก แต่จะเป็นผลดีกับตัวท่านหรือไม่ ผมไม่กล้ารับรอง

บล็อกนี้ถือกำเนิดเกิดขึ้นในช่วงเย็นย่ำของวันอาทิตย์ ของวันที่ 6 มกราคม 2556 ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะเลิกงานและเดินทางกลับบ้านทางทิศตะวันตก

แม้ว่าวันนี้จะผ่านพ้นวันปีใหม่มาได้เพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์ แต่มันเป็นวันอาทิตย์ที่หงอยเหงาน่าเบื่อหน่ายมากทีเดียวสำหรับคนโสดอย่างผม อย่างไรก็ตามมันก็ยังถือว่าเป็นวันที่ดีกว่าวันปีใหม่พอสมควร หากจะมองกันในแง่ของความเหงา เพราะวันนี้เหงาน้อยกว่าเนื่องจากไม่ต้องเห็นคนอื่นโพสต์รูปภาพและเรื่องราวการท่องเที่ยวและการฉลองปีใหม่ให้ผมอิจฉาเล่น

เพราะช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในห้องตัวเองไม่ยอมโผล่หน้าไปให้สาวๆที่ 7-ELEVEn เห็นด้วยซ้ำไป แหม...ถึงแม้ผมจะมีพุง แต่คนมีพุงก็ใช่ว่าจะเป็นอาเสี่ยกันทุกคน ช่วงที่ขัดสนผมจึงเลือกที่จะเก็บตัวอยู่เงียบๆ ขยับเขยื้อนตัวให้น้อยที่สุด เป็นการประหยัดพลังงานและพลังเงิน ชีวิตยังโชคดีอยู่บ้างที่มีพุงกลมๆไว้ให้ลูบเล่นพอเพลินๆ  คิดแล้วก็อยากจะแบ่งปันความโชคดีที่มีอยู่ด้วยการปันพุงป่องๆ ให้น้องๆผู้หญิงได้มาลูบเล่นเพลินๆแบบผมบ้าง (ขออนุญาตแบ่งปันให้แต่น้องผู้หญิงนะครับ เพราะถ้ามีผู้ชายมาลูบพุงผม ผมจะรู้สึกเครียดมาก)

ย้อนกลับมานิดนึง ก่อนที่ผมจะพาออกทะเลไปไกล

ในช่วงเย็นย่ำของวันอาทิตย์ ของวันที่ 6 มกราคม 2556 ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะเลิกงานและเดินทางกลับบ้านทางทิศตะวันตก ซึ่งมันเป็นวันอาทิตย์ที่หงอยเหงาน่าเบื่อหน่ายมากทีเดียวสำหรับคนโสดอย่างผมนั้น จู่ๆ ผมก็เกิดอุตริปัญญา เอ้ย พุทธิปัญญาขึ้นมาว่า ควรจะนำเอาเวลาที่ใช้ไปในการเบื่อหน่ายนั้นมาเขียนบล็อกเล่นแก้เบื่อดีกว่า ผมคิดว่ามันจะเป็นผลดีกับตัวผมมากเลยทีเดียว แต่จะเป็นผลดีกับคนที่ผ่านมาอ่านเจอหรือเปล่าผมไม่รับรอง

เอ๊ะ! แล้วผมจะเขียนซ้ำไปซ้ำมาทำไมกันละเนี่ย แบบนี้คนอ่านก็เบื่อกันพอดี สำหรับใครที่เบื่อ ลองข้ามไปอ่านเรื่องที่สองได้เลยครับ ผมรับรองได้เลยว่าเรื่องที่สองนั้น...ผมจะเขียนให้อ่านกันเร็วๆนี้ แน่นอน!

ท่านที่เพิ่งได้เข้ามาอ่านบล็อกนี้เป็นครั้งแรก อาจจะสงสัยว่าบล็อกนี้มันติงต๊องหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า อย่าเพิ่งตัดสินกันแบบผิวเผินครับ ลองติดตามอ่านกันต่อไป ผมคิดว่าท่านจะเปลี่ยนความสงสัยของท่านเป็นความมั่นใจ แน่นอน!

เอาล่ะ ผมเริ่มเขียนมาตั้งแต่พระอาทิตย์กำลังจะเลิกงานเตรียมตัวกลับบ้าน จนตอนนี้พระอาทิตย์น่าจะกลับไปถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าเรื่องราวของผมจะยังไม่จบ แต่เมื่อมันสมควรแก่เวลาแล้วแล้ว ผมก็ขอขยักเอาไว้เขียนในตอนต่อไปก็แล้วกัน

สายัณห์สวัสดิ์

Continue reading →